เมื่อสัตว์ทำผิดกฎหมายของคน!!
           เรื่องพิลึกพิลั่นนี้เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของมนุษย์จนได้ เมื่อกฎหมายของมนุษย์สร้างขึ้นมานั้นไม่เว้นยืนมือที่จะเอาผิดกับสัตว์ โดยไม่สนหรอกนะว่าสัตว์นั้นจะพูดได้หรือไม่ได้ ถ้าหากมันไปก้าวก่ายประเพณี กฎหมายของคน ต้องมีความผิดตามกฎหมาย
          ไม่เว้นแม้แต่ แมว หมา ไก่ มด สัตว์ทุกชนิดโดนหมด
            แต่หาเราดูในประวัติศาสตร์ที่จารึกของมนุษย์ชาติแล้วล่ะก็กรณีที่โด่งดังที่สุดในเรื่องที่มนุษย์ตัดสินให้สัตว์มีความผิดตามกฎหมายเห็นได้ว่ากรณีของช้างชื่อแมรี่ ถือได้ว่าโด่งดังที่สุดครับ
           


            รู้หรือไหมว่าโลกของเราเคยตัดสินประหารชีวิตช้างที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงมาแล้ว

             แมรี่ เป็นช้างตัวแรกที่ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา
             แมรี่ เป็ช้างที่ถือว่าแก่มากแล้วอายุ 30 ปี หนัก 5 ตัน เป็นช้างพังประจำคณะละครสัตว์สปาร์ค ที่ตะเวณแสดงตามที่ต่างๆ มานาน 15 ปี แล้ว แต่เบื้องหลังพี่เลี้ยงช้างรู้ดีว่าแมรี่เป็นช้างที่ค่อนข้างมีนิสัยเลว อารมณ์ร้าย แต่จำเป็นต้องเลี้ยงเพราะเป็นตัวชูโรงเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คน
              แล้วเรื่องมันก็เกิด
              บ่ายวันอังคารที่ 12 ก.ย.1916 หลังการแสดง นายวอลเทอร์ เอลดริดจ์ ซึ่งเพิ่มมาทำงานที่คณะละครสัตว์ได้เพียง 2 วัน พาแมรี่ไปอาบน้ำ หลังอาบน้ำเสร็จก็พามันเดินกลับ ระหว่างทางมีพยานหลายคนเห็นเหตุการณ์ว่าแมรี่เห็น แตงโมครึ่งลูกข้างถนน จึงเดินเข้าไปใช้งวงเก็บกินแต่โดนนายวอลเทอร์ใช้ตะขอเกี่ยวไม่ให้แมรี่เก็บแตงโมกิน แมรี่โมโหจึงใช้งวงคว้าเอววอลเทอร์จับฟาดกับซีเมนต์อ่างน้ำก่อนที่จะปล่อยลงพื้นแล้วกระทืบซ้ำจนหัวเละมันสมองและเลือดกระจายเกลื่อนถนน
              แม้แมรี่จะเป็นดาราของคณะละครสัตว์แต่ชื่อเสียงที่ไม่สู้ดีว่าเป็นช้างเกเรมานานแล้ว ทำให้ชาวบ้านเรียกร้องให้จัดการสำเร็จโทษแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน โดยใช้วิธีการประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในที่เกิดเหตุ
              "ฆ่ามัน ฆ่ามัน"
               แต่การยิงเป้าเพื่อปลิดชีวิตช้างไม่ใช้เรื่องง่ายนักเพราะสมัยนั้นไม่มีปืนที่อนุภาพร้ายแรงพอที่จะทะลวงผิวหนังที่หยาบหนาของช้างได้
               "ในประเทศนี้ไม่มีปืนใหญ่พอที่จะล้มช้างได้"เจ้าของคณะละครสัตว์กล่าว
                อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านจอให้ลองยิงดู การประหารชีวิตเริ่มต้น ณ ที่เกิดเหตุ มือประหารใช้ปืนสมัยนั้นยิงแมรี่ไป 5 นัด แต่ก็ล้มมันไม่ได้ เพราะกระสุนพุ่งข้าไปฝังผิวหนังเล็กน้อย แมรี่จึงมีโอกาสต่อชีวิต ได้แสดงละครสัตว์ต่อไป โดยทุกคนหวังเห็นมันกลับเนื้อกลับตัวเป็นช้างนิสัยดี
                วันต่อมาละครสัตว์ย้ายวิกจากคิงสปอต์ไปเปิดการแสดงที่จอห์นซิตี้คราวนี้แมรี่แสดงความเป็นอันธพาลอีก โดยวิ่งไล่ผู้จัดการคณะละครสัตว์ถึงขั้นใช้งวงจับเสื้อเขา แค่โชคดีที่ผู้จัดการถอดเสื้อให้มันจึงรอดมาได้
                จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ทำให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเปิดประชุมโต๊ะกลมแล้วมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ "พอกันที" แม้มันจะมีค่าตัวถึง 2 หมื่นเหรียญ (สมัยนั้นแพงมาก)
                จากนั้นจึงได้ประชุมปรึกษาว่าควรประหารชีวิตด้วยวิธีใด ในเมื่อใช้ปืนไม่ได้ผล
                ในที่สุดผลการประชุมก็ออกความเห็นว่า "ควรใช้วิธีแขวนคอโดยใช้รถเครน"


            วันที่ 13 กันยายน นั่นเอง ทางคณะละครสัตว์เปิดโอกาสให้แมรี่แสดงเป็นตรั้งสุดท้าย จากนั้นชาวบ้านจึงพามันไปยังบริเวณใกล้สถานีรถไฟ โดยมีรถเครนยักษ์หนักกว่า 100 ตัน คอยอยู่

             พร้อมกับฝรั่งมุงเป็นจำนวนมาก ที่ไปเป็นประจักษ์พยานการประหารชีวิตสัตว์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ ผู้ทำการควบคุมรถเครนมีหลายคน หนึ่งในนั้นคือ มอนตี้ ลิลี่ อายุ 16 ปี(ปัจจุบันอายุ 81 ) เล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า
             "เราเอาโซ่ขนาดใหญ่พันที่รอบคอแมรี่ แล้วใช้เครนยกขึ้น แต่พอเท้าพ้นจากพื้นราว 6 ฟุต โซ่เกิดขาด มันตกลงมาทำท่า งง แต่ไม่มีปฏิกิริยาอื่นๆ คงไม่รู้ว่ามันกำลังเจออะไร เราจึงเอาโซ่ขนาดใหญ่กว่าเดิม ยกขึ้นใหม่ คราวนี้มันได้ผล มันลอยสูง โซ่รัดคอแน่นจนมันขาดใจตายอย่างรวดเร็ว"
              แมรี่ถูกฝังในหลุมตรงแดนประหารนั้นเอง
               แมรี่น่าจะไม่ใช้สัตว์ตัวแรกที่ถูกประหารชีวิตด้วยกฎหมายของคน จากประวัติศาสตร์เก่าแก่พบว่า พลาโต นักปรัชญาชาวกรีก เคยพูดว่า สัตว์ใดก็ตามที่ทำผิดฐานฆ่าคนควรลงโทษให้ตายตาม โดยการประหารแล้วเอาศพมันไปทิ้งนอกประเทศ โดยใช้ญาติผู้ตายเป็นคนประหารมัน!!
               ตอนหน้าคนเขียนจะยกคดีแปลกๆ ที่สัตว์ทำผิดกฎหมายให้อ่านครับ บางคดีมีทนายแก้ต่างให้มันด้วย!

http://lemonodor.com/archives/001078.html

    "ความยุติธรรม บางครั้งก็เป็นความอยุติธรรมเช่นกัน"
           ประเพณี กฎหมายพิสดารของคนเรา ที่ตัดสิน ลงโทษ สัตว์นั้นมีมาช้านานแล้ว ถ้าจะสาวไปถึงเรื่องเก่าๆ คงจะเป็นตรากฎหมายในคัมภีร์ไบเบิลถือได้ว่าเป็นหลักฐานเก่าที่ถูกจารึกมากที่สุดแล้ว
            ในพระคริสต์ธรรมเดิม หรือ "โอลด์ เทสตาเม้นท์" บทที่ว่าด้วยเอ็กโซโดระบุว่า
             "ถ้าโคขวิดผู้ใดตาย จงเอาหินขว้างโคนั้นให้ตาย แลเนื้อของมันอย่ากินมันเลย แต่เจ้าของนั้นหามีโทษไม่ หากโคนั้นเคยขวิดคนมาก่อน และมีผู้มาแจ้งความให้เจ้าของทราบ แต่เจ้าของมิได้กักขังมันไว้ มันจึงขวิดชายหญิงถึงตาย จงเอาหินขวางโคนั้นเสีย แล้วจึงลงโทษให้เจ้าของนั้นตายตกตามกันไปด้วย…"
             ยังมีกฎหมายประกาศให้สัตว์อื่นๆ ให้ทราบอีก(ถ้าสัตว์นั้นทราบภาษาคนนะ) เช่น คศ864 รัฐสภาแห่งเวิร์มส์ ออกกฎหมายประกาศว่า ผึ้งรังไหนออกมาไล่ต่อยทำร้ายมนุษย์นั้น ท่านให้จัดการรมควันทำลายรังที่ผึ้งตัวนั้นสังกัดอยู่ให้สิ้นซาก ผลคือกฎหมายนั้นจึงเป็นช่องว่างของอาชีพตีผึ้งเอาน้ำหวานโดยชอบธรรมเลย ฮ่าๆๆ
              นี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง………..


          ฝรั่งเศสตอนคริสต์ศตวรรษที่ 11 นักบุญเบอร์นาร์ด กำลังเทศน์ในโบสถ์อยู่นั้น
          จู่ๆ มีแมลงวันฝูงหนึ่งมาร่วมฟังเทศน์ร่วมกับคนซะด้วยสิ แต่แทนที่จะสำรวม กับทำเสียงดังหึ่งๆ และเที่ยวตอมคนในโบสถ์ จนนักบุญเบอร์เนาร์ดเกิดอาการโมโห รำคาญใจอย่างยิ่ง ท่านเลยประกาศกลางที่ประชุมให้ตัดแมลงวันฝูงนั้นออกจากศาสนาในโบสถ์นั้นทันที
            เอาเข้าไป………..
            สัตว์อีกหลายชนิดที่เป็นจำเลยสู่ตราชั่งธรรมของมนุษย์อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่ๆ ที่คนเราไม่รีรอลงโทษมันอย่างประณีตบรรจง เช่นกัน
            ในปี ค.ศ.1639 ม้าตัวหนึ่งถูกตัดสินประหารในศาลแห่งหนึ่งในเมืองดียองข้อหาพยศสะบัดคนขี่จนกระเด็นตกจากหลังคอหักตายบนพื้น
             ในปี ค.ศ.1471 ไก่ตัวหนึ่งถูกนำมาขึ้นศาลเป็นจำเลยฐานที่ไปไข่บนหลังคาบ้านที่เมืองบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คำตัดสินคือ ให้จัดการประหารฐาน "กระทำวิปริตผิดวิสัยไก่" แล้วเอาตัวมันไปย่างไฟด้วยการตรึงกางเขนก่อนนำไปฝัง เพราะถือว่า ไก่ตัวนี้อาจเป็นปีศาจจำแลงร่างมา……
              ในยุคกลางของยุโรปนั้นมีสัตว์จำนวนมากที่เดือดร้อนเพราะกฎหมายพอๆ กับคนที่ต้องเคร่งคัมภีร์ในสังคมเช่นกัน


               ปี 1394 หมูตัวหนึ่งถูกตัดสินแขวนคอในมอร์มังดี ข้อหาไปกัดเด็กทารกคนหนึ่งตาย แถมเขมือบเด็กเป็นอาหารอีก จนชาวบ้านนำแม่หมูตัวหนึ่งกับลูกหมูอีก 6 ตัว ขึ้นศาล โดยตั้งข้อหาว่าเป็นอาชญากรรม ศาลตัดสินประหารชีวิตแค่แม่หมูตัวเดียว ส่วนลูกหมูอีก 6 ตัวนั้น ศาลสั่งไว้ชีวิต ปล่อยให้เจ้าของไปเลี้ยงต่อ เพราะถือว่าเป็นหมูเยาวชนมีอายุน้อย กระทำการรุมฆ่าคนตายเพราะแม่มันไม่ดี สอนลูกทำเกินกว่าเหตุ
                อย่างนี้ก็มี……..?!
                 ปี ค.ศ.1519 ที่เมืองสเตลวิโอ ทางเหนือของอิตาลี ศาลได้รับการยื่นฟ้องจากโจทย์กล่าวหาตัวตุ๋นฝูงหนึ่งเป็นจำเลยว่าเป็นอาชญากรรมระรานพืชผลในไร่นาของคน โดยการเที่ยวไชชอนอยู่ใต้ดิน คำตัดสินแรกของศาลคือให้ตุ่นเหล่านี้ปรากฏตัวต่อศาล สำแดงความสำนึกผิดในการกระทำของตน และขอขมาพร้อมกับทำทัณฑ์บนต่อศาลว่าหนหน้าจำเลยจะไม่ทำเช่นนี้อีก
                 แน่นอน ไม่มีตุ่นตัวไหนปรากฏตัวต่อศาลตามที่นัดไว้ ศาจจึงประกาศทำการพิจารณาคดีไปข้างเดียว(…….) ผลการตัดสินคือให้จำเลย(ตุ่น)อพยพครอบครัวทั้งหมดออกไปจากที่ของโจทก์ภายใน 14 วัน ที่ศาลให้เวลาย้ายบ้านตั้ง 14 วัน ก็เพราะว่า "จำเลยมีลูกเล็กเด็กแดงที่จะต้องเป็นภาระในการอพยพไปหาที่ทำกินใหม่ลำบากอยู่สักหน่อย"
                  ………………..เป็นคดีที่ต๊องจริงๆ
                  บางคดีที่สัตว์ทำผิดกฎหมายก็อุตสาห์มีคนเข้ามาเป็นทนายแก้ต่างกับพวกสัตว์อีก เช่น
                   ค.ศ.1499 มีหมีป่าออกอาละวาดตามหมู่บ้านคนเยอรมันทางตอนใต้ แต่เมื่อขึ้นศาลมีอันต้องเลื่อนการพิจาณาคดีหนึ่งสัปดาห์ เพราะศาลต้องพิจารณาคดีว่าจะ ให้หมีตัวอื่นมานั่งเป็นคณะลูกขุนพิจารณาคดีโทษจำเลยหรือไม่………..
                   ค.ศ.1521 หนูจำนวนหนึ่งทำลายข้าวบาร์เลย์ในไร่แห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อศาลออกหมายเรียกฝูงหนูมาปรากฏตัวพิจารณาคดีไต่สวน ปรากฏว่าเหล่าหนูไม่ปรากฏตัวต่อศาล(ของมันแน่อยู่แล้ว) ทำให้ทนายหัวแหลมชื่อบาร์โธโลมิว ชาสเซนี ออกมาแก้ตัวแทนเหล่าหนูแทน โดยอ้างว่าศาลมิได้ระบุให้แน่นอนว่าจำเลยลูกความของตนนั้น เป็นตัวไหนตัวไหนบ้าง เมื่อศาลได้ยินจึงออกหมายใหม่สั่งให้เรียกจำเลย(หนู)ทั้งหมดให้มาปรากฏตัว ซึ่งได้แก่บรรดาหนูที่อาศัยในละแวกนั้นทั้งบาง
                  แต่ถึงยังไงจำเลย(หนู)ก็ไม่ปรากฏตัวต่อศาลสักตัว ฝ่ายทนายหนูจึงอ้างต่อศาลว่าที่ลูกความของตนไม่มาศาล เพราะถูกคุกคามโดยแมวฝ่ายโจทย์หรืออัยการ จึงขอให้อัยการวางหลักทรัพย์ค้ำประกันต่อศาลว่าจำเลย(หู)จะปลอดภัยจากแมวของฝ่ายอัยการขณะมาที่ศาล แต่อัยการปฏิเสธวางหลักค้ำประกัน ทำให้คดีนี้ยุติในที่สุด
                 …………………..ต๊องพอๆ กัน
                 ค.ศ.1659 หนอนผีเสื้อในอิตาลีจำนวนมาก ได้รับคำสั่งให้ปรากฏตัวต่อศาลในข้อหาบุกรุกทำลายทรัพย์สินชาวนา โดยศาลปิดหมายบอกกล่าวกับผีเสื้อตามต้นไม้ต้นหนึ่งในเขตหนึ่งๆ ที่มี 5 เขตด้วยกัน ที่มีการฟ้องร้องว่าเกิดความเสียหาย โดยหมายศาลนั้นบอกถึงการตัดสินของศาลให้บรรดาหนอนผีเสื้อเหล่านี้ย้ายกลับไปที่อยู่เดิมของตน ห้ามกินพืชไร่นาของชาวไร่ชาวนา………………มันคงอ่านออกน่ะ


                 ค.ศ.1709 ที่เมืองมารายโฮในบราซิล อเมริกาใต้ ชุมชนบาทหลวงฟรานซิสร้องเรียนต่อศาลว่า พวกตนถูกรบกวนโดยปลวกที่กัดกินอาหารและเครื่องเรือน มีการออกหมายศาลเรียกปลวสกขึ้นต่อสู้ในศาล แน่นอนปลวกไม่มา คนที่เป็นทนายจึงอาสาว่าความแทนปลวก โดยเน้นให้ศาลเห็นใจปลวกที่เป็นสัตว์ขยันอดทน และมันอยู่ที่เดิมของมันอยู่ก่อนแล้วก่อนทีบาทหลวงตั้งถิ่นฐานอีก คดีนี้มีการพิจารณาอย่างยื้อเยื้อยาวนาน จนนั้นที่สุดศาลจึงมีคำสั่งให้ไกล่เกลี่ยกันเองในที่สุด
                   การพิจารณาโทษลงโทษสัตว์ ก็ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อไม่นานมานี้(ปีไหนไม่ทราบหนังสือของคนเขียนหาย)ที่ศาลแห่งหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ ทำการตัดสินคดีฆาตกรรมรายหนึ่งที่มีชายคนหนึ่งกับหมาตัวหนึ่งตกเป็นจำเลย ศาลได้พิจารณาให้จำเลยคนจำคุกตลอดชีวิตฐานมีความผิด ส่วนหมาของจำเลยให้นำไปประหารเสียฐานเป็นตัวการให้โจทก์ตาย
                   กรรมของสัตว์จริงๆๆ

จากต่วนตูนพิเศษ กันยายน 2540 ฉบับ271+ + 


ซาอุดิอาระเบีย ประเทศนี้ใครๆ ก็รู้จัก แต่น้อยคนนักที่จะรู้ซึ่งถึงความประหลาด ขนบประเพณี ระบอบการปกครอง ชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่างๆ เหมือนชาติอื่นๆ
            โดยขนบประเพณีที่ชาวโลกรู้สึกอึดอัดที่สุด(แต่ชาวซาอุดี้ไม่อึดอัด) ก็คือสตรีชาวซาอุดี้ไม่มีสิทธิอะไรเป็นของตนเลย โดยเฉพาะการเลือกคู่ครอง ผู้ใหญ่ในครอบครัวจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้โดยเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด สาวเจ้าห้ามปฏิเสธ ห้ามปากมาก ไม่งั้น..............
             และเมื่อแต่งไปแล้ว หากสาวเจ้าซาอุดี้(ซาอุดิอาระเบีย)รายใดลักลอบมีชู้กับเจ้าหนุ่มคนอื่นละก็ โทษสถานเดียวคือ ตาย! และต้องตายอย่างทรมานทรกรรมมากที่สุดด้วย โดยการถูกประชาทัณฑ์ด้วยการปาก้อนหินทีละก้อนๆ จนขาดใจตาย ส่วนฝ่ายชายชู้จะต้องถูกโปยตีด้วยแส้หนังเพียงแค่ 10 ครั้งเองครับ (ฮิๆ โชคดีไป)
             แต่ถึงอย่างไรการประหารโดยวิธีแบบนี้ชาวโลกไม่มีโอกาสจะรับรู้ได้หรอกครับ เพราะส่วนมากจะถูกปกปิดรู้กันในเฉพาะหมู่ชาวซาอุดี้เท่านั้น
             จนกระทั้งปี พ.ศ.2524 เกิดโทษประหารด้วยการตัดศีรษะที่โด่งดังและเกรียวกราวไปทั่วโลก เนื่องจากมีการแอบถ่ายภาพทำวีดีโอและให้ โทรทัศน์บีบีซีนำมาแพร่ภาพให้ดูกันทั่วโลกเสียด้วยสิ
             ที่สำคัญ พิเศษเลย เพราะการประหารในครั้งนี้ กระทำที่ใจกลางเมือง ในนครเจดาห์ อันเป็นนครที่เสมือนเป็นที่รับแขกนอกแขกในภายในประเทศเลยที่เดียว
              และที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผู้ที่ได้รับโทษในความผิดคบชู้สู่ชายนอกใจสามีรายนี้เป็นถึงเจ้าหญิงสูงศักดิ์เป็นถึงพระนัดดาเจ้าชายโมฮัมหมัด พระราชโอรสพระองค์โตของกษัตริย์อับดุลอาซิสและเป็นพระเชษฐาของพระเจ้าฟาฮัดกษัตริย์ในยุคนั้น กับบุรุษชายชู้ที่เป็นถึงบุตรชายของเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำเลบานอน
              ที่แหวกแนวก็คือฝ่ายหญิงไม่ถูกประหารโดยการปาก้อนหิน และฝ่ายชายก็ไม่ได้ถูกตีด้วยแส้ 10 ครั้ง แต่กลับเป็นว่าให้ฝ่ายชายดูการตัดศีรษะต่อหน้าเจ้าหญิงเองครับ (ซวยเลย)
              เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า เจ้าหญิงแสนสวยนามว่า มิชาอัล บินต์ ฟาฮัด บิน โมฮัมหมัด ถูกจัดพิธีสมรสแล้วตั้งแต่ทรงพระเยาว์กับเจ้าชายสูงอายุที่เป็นพระญาติสนิท แน่นอนแก่กับอ่อนมีเหรอจะเข้ากัน ก็ทั้งคู่ไม่มีใจให้กันนี้
              จนกระทั้งหลายปีผ่านมา สาวเจ้าก็โตเต็มวัย และเกิดชอบพอรักใคร่กับ คาเลด มูฮาลลาล บุตรชายของเอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำเลบานอน และมักลอบพบปะกันเป็นประจำ จนหมายใจไว้ว่า วันข้างหน้าจะใช้ชีวิตครอบครัวที่ผาสุข มีการวางแผนชีวิตกันอย่างสวยหรู ดั่งที่นิยายหนังน้ำเน่าไทยจะคิดกัน
              แต่....เอย ความรักของทั้งสองนั้นถูกขัดขวางจากผู้ใหญ่ในครอบครัวอย่างเต็มที่ เต็มกำลังอัตราศึก เจ้าชายโมฮัมหมัด พระอัยการในฐานะที่เป็นประมุขของราชตระกูล รีบตัดไฟแต่ต้นลม โดยจัดให้มีการจัดการสมรสอย่างกระทันหันกับญาติสูงอายุ สูงวัย โดยไม่ถามไถ่ความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายสักนิด
              เมื่อเจ้าหญิงทรงแต่งงานกันไปแล้ว แต่จากการที่ปล่อยอยู่แต่ในวังทำให้เจ้าหญิงเกิดอาการว้าเหว่เหงาใจ เนื่องสามีสูงวัยไม่สนใจในตัวเธอเลย ทำให้เจ้าหญิงต้องแอบติดต่อคนรักเดิมตลอดมา มีการลับลอบพบปะบ่อยครั้ง
              เมื่อความแตก เจ้าชายโมฮัมหมัดพระอัยกาทรงกริ้วหนัก ในฐานะที่ทรงเป็นผู้พิทักษ์รักษาศิลธรรมจรรยาที่เข้มงวดอย่างยิ่งในซาอุดิอาระเบีย แต่การกระทำของเจ้าหญิงนั้นเป็นการตบพระพักตร์ของพระองค์เข้าฉาดใหญ่
              เจ้าชายโมฮัมหมัดทรงประกาศิต ห้ามไม่ให้บุคคลทั้งสองติดต่อกันอย่างเด็ดขาด
               เจ้าหญิงมิชาฮัลทรงประท้วงพยายามฆ่าตัวตายด้วยการเดินลงทะเลที่ชายฝั่งทะเลแดง เดชะบุญ(มั้ง) มีคนไปพบเสื้อผ้าของเจ้าหญิงกองอยู่ที่ชายหาดจึงสามารถช่วยชีวิตไว้ได้ทันท่วงที แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้รับความเห็นอกเห็นใจจากญาติผู้ใหญ่นัก
               เมื่อเป็นดังนี้ทั้งสองจึงวางแผนกัน หนีออกนอกประเทศเพื่อไปครองรักต่างแดน
               มาถึงขั้นนั้นพระอัยกาโมฮัมหมัดก็หมดความอดทน สั่งจับกุมทั้งสอง เอามาคุมขัง และลงโทษ ลงทัณฑ์ ตามกฎหมายสถานหนัก
                กฎหมายเดิมบัญญัติว่า โทษฐานคบชู้สู่ชาย ฝ่ายหญิงต้องถูกประชาทัณฑ์ด้วยการปาก้อนหินทีละก้อนๆ จนขาดใจตาย ส่วนฝ่ายชายชู้จะต้องถูกโปยตีด้วยแส้หนังเพียงแค่ 10 ครั้ง
                แต่ครั้งนี้พระอัยการเดือดดาลมาก และต้องการหยามคนที่ถูกประหารอย่างที่สุด ต้องการประจานความผิดให้เต็มที่ จึงได้เปลี่ยนการประหารเสียใหม่ เป็นการตัดศีรษะ คาเล็ด มูฮาลลาล ต่อหน้าเจ้าหญิงมิชาอัล แทน
                พิธีกรรมการประหารนี้ผิดรูปแบบที่เคยทำมาก่อน จัดขึ้นที่ลาจอดรถใจกลางนครเจดดาห์ ท่ามกลางสายตาของชาวต่างชาติที่มารอดูชมอย่างคับคั่ง
       

         
                เมื่อนาทีระทึกใจมาถึง เพชฌฆาตเงื้อดาบสูง เตรียมหวดลงบนคอของคาเล็ด มูฮาลลาล ทั่ว บริเวณเงียบสนิท เมื่อเสียงดาบหวดขวับเควี้ยวแวกอากาศทำลายความเงียบขึ้น เสียงหวีดร้องของผู้คนที่มาชมประหารครั้งนี้เช็งแซ่ และเจ้าหญิงมิชาอัล ที่ทรงบังคับให้ดูการประหารชู้รัก ณ ลานประหารทรงกรีดร้องสุดเสียง ก่อนที่จะเป็นลม ล้มคว่ำนอนกับพื้น สิ้นสติสมประดีไป
                  ยัง การประหารยังไม่เสร็จสิ้น เมื่อลืมตาตื่น ผู้คนที่มาชุมนุมรอบลานประหารไม่ได้เห็นสิ่งที่ทุคนจะได้เห็นมาก่อน เมื่อ....หัวของคาเล็ด มูฮาลลาล ยังตั้งอยู่บนบ่าเรียบร้อยและยังมีลมหายใจต่อไป ทำให้เพชฌฆาตต้องลงดาบซ้ำถึง 4 ครั้ง 4 คราว กว่าหัวของคาเล็ดจะหลุดจากบ่า ร่างคาเร็ด ฟุบลงไปในท่าคุกเข่าก่อนที่จะระทดระทวยร่างกายร่างราบลงไปกับพื้นใกล้เคียง ศีรษะของเขากลิ้งหงายอยู่ไม่ไกล ส่วนเจ้าหญิงก็ถูกปลงพระชนม์ด้วยกระสุนปืนจำนวน 6 นัดซ้อน ณ ลานประหารแห่งนี้ เช่นเดียวกัน เอาเป็นว่าไปแต่งงานในโลกหน้าเลย
                   ยังครับ เรื่องยังไม่จบ......แม้จะมีการห้ามถ่ายภาพนิ่งหรือภาพยนต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีคนลับลอบภาพเหตุการณ์นี้ไปทำสารคดีของบีบีซีออกเผยแพร่ไปทั่วอังกฤษและสหรัฐจนได้น่า
                    ผลที่ตามมาคือเมื่อราชสำนักซาอุดิอาระเบียทราบเรื่องเข้าก็สั่งตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับอังกฤษทันที ฐานยุ่งเรื่องของชาวบ้านดีนัก
                     เรื่องเลยจับลงฉะนี้แล..............................

จากต่วยตูนพิเศษ ฉบับที่ 311 มกราคม 2544

วันนี้ที่เซียรา ลีโอนี่



วันนี้ที่เซียรา ลีโอนี่
          ก่อนที่จะเข้าเรื่องผมขอเล่าเรื่องของหนังบลัท เดมอน(Blood Diamond)ก่อนละกันครับ มีใครได้ดูบ้างหรือเปล่าเอย..............
          ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายและสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในทศวรรษ 1990 ในเซียร์รา ลีโอเน
           แดนนี่ อาร์เชอร์ (ลีโอนาโด ดิคาปริโอ) ทหารรับจ้าง และ โซโลมอน แวนดี้ (ดจิมอน ฮาวน์ซู) ชาวประมงชาวมองเด ทั้งคู่เป็นชาวแอฟริกัน แต่ประวัติชีวิตและสถานภาพของพวกเขาต่างกันสุดขั้วจนกระทั่งชะตาของพวกเขาต้องมาร่วมกันในการออกเดินทางตามหาเพชรสีชมพูหายากที่อาจเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา
ในระหว่างที่ถูกคุมขังด้วยข้อหาค้าของเถื่อน อาร์เชอร์ได้เรียนรู้ว่าโซโลมอนซึ่งถูกพรากจากครอบครัวและถูกบังคับให้ทำงานในเหมืองเพชรและได้พบเพชรเม็ดพิเศษและแอบซุกซ่อนเอาไว้ ด้วยความช่วยเหลือของแมดดี้ โบเวน (เจนนิเพฟอร์ คอนเนลลี) นักข่าวสาวอเมริกันผู้ซึ่งอุดมการณ์ของเธอถูกสั่นคลอนโดยความรู้สึกลึกล้ำที่มีต่ออาเชอร์ สองชายออกเดินเท้าผ่านอาณาเขตของกบฏ การเดินทางนี้เป็นมากกว่าการค้นหาอัญมณีล้ำค่า มันอาจช่วยปกป้องครอบครัวของโซโลมอนและทำให้อาเชอร์มีโอกาสครั้งที่สอง จากที่เขาเคยคิดไว้ว่าไม่มีอีกแล้ว 



           กำกับการแสดงโดย เอ็ดเวิร์ด ซวิค ภาพยนตร์แอ็คชั่นดราม่าเรื่อง Blood Diamond นำแสดงโดยนักแสดงที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง ลีโอนาร์โด ดิคาปรีโอ (The Aviator), นักแสดงรางวัลตุ๊กตาทอง เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี (A Beautiful Mind) และนักแสดงที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทอง ดจิมอน ฮาวน์ซู (In America) เขียนบทภาพยนตร์โดย ชาร์ลส ลีวิทท์ (The Mighty) จากเนื้อเรื่องโดยลีวิทท์ และซี. เกบี้ มิทเชล

          ทันทีที่ผมดูจบสิ่งแรกที่ผมคิดเลยตอนนั้นคือ..........
           "โชคดีที่เกิดเป็นคนไทย"
           โห.....ก็จริงนี้ ประเทศอะไรฟ่ะ สุดอันตราย และโหดจริงๆ ฆ่าแกงแม้กระทั้งเพื่อนร่วมชาติ ผมคิดว่า อิรัก อัฟกาฯ และ 3 จังหวัดภาคใต้ จะโหด อันตรายแล้วน่ะ มาดูหนังเรื่องนี้ ตัวอย่างที่ว่าข้างต้นชิดซ้ายไปเลย เมื่อมาเจอกับประเทศเซียรา ลีโอนี่
          ประเทศที่ว่าก็มีจริงๆ เสียด้วยสิ รู้สึกหนัง 007 ภาคล่าสุดจะกล่าวถึงด้วย(ใช่เปล่าหว่า)
          ว่าแล้ว เปิดหาเน็ตดู หาข้อมูลประเทศนี้ที่เป็นภาษาไทยดู ก็พบว่า.................


           มีประเทศนี้อยู่จริงๆ ในโลกครับ นั้นคือประเทศเซียรา ลีโอนี่(ในหนังเรียกประเทศนี้ว่าอะไรหว่า เออ....เซียร์รา ลีโอเน...เหรอ) ชื่อประเทศ เซียร์ร่า ลีโอนี่ (Sierra Leone) หรือหากจะเรียกกันเต็มยศก็ต้อง สาธารณรัฐเซียร์ร่า ลีโอนี่ (Republic of Sierra Leone) นั้นมี รากคำศัพท์มาจากภาษาโปรตุเกส ครับแปลว่า "ภูผาแห่งราชสีห์" (Lion Mountain) ซึ่งประเทศนี้ละม้ายคล้ายคลึงกับ สิงโตที่กำลังนอนหลับอยู่ เมื่อเปิดหรือกลางแผนที่โลกดูก็พบว่ามันเป็นประเทศเล็กๆ ในทวีปอาฟริกา อยู่ทางเหนือของประเทศไลบีเรีย เคยตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ แต่ต่อมาก็ได้รับเอกราช ค.ศ. 1961 และสถาปนาเป็นสาธารณรัฐในปี ค.ศ. 1971

           แต่แทนที่ประเทศนี้จะสามัคคีกัน กับทะเลาะกัน จนเกิดสงครามกลางเมืองฆ่าล้างเพื่อนร่วมชาติซะงั้นนี้(เหมือนประเทศไหนก็ไม่รู้)
           สาเหตุเหรอมันเริ่มมาจากทรัพยากรล้ำค่า นั้นคือมีเพชรครับ มีจำนวนมากด้วย (ประมาณ 15% ของจำนวนเพชรจากทั่วโลก รู้จากหนังนะ) ทำให้ชาวตะวันตก พวกผิวขาวที่แสนกระหายแห่กันเข้ามาลงทุน ทำเหมืองเพชร กันอย่างมโหฬาร สร้างความร่ำรวยให้กับพวกผิวขาวกันอย่างถ้วนหน้า แต่จ่ายค่าตอบแทนเพียงน้อยนิดเจ้าของประเทศ
          ความไม่พอใจ ความโกรธแค้น ต่อคนผิวขาวที่กอบโกยผลประโยชน์ดังกล่าว ประจวบกับประชาชนเกิดความขัดแย้งกับรัฐบาลแบบทรราชย์แบบเบ็ดเสร็จที่ปกครองประเทศแบบฉกฉวย ทำให้เกิดการแตกแยกเป็นหลายฝักหลายฝ่ายทำให้เกิดการต่อตั้งกองกำลังปฏิวัติที่ชื่อว่า "อาร์ยูเอฟ (RUF Revolutionary United Fronts) ก่อตั้งโดยโฟเดย์ แซนโกห์ เป็นนักรบเก่าในกองทัพโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแย่งชิงความมั่งคั่งคืนจากชาวยุโรปที่เข้ามากอบโกย(แต่อาวุธซื้อมาจากพวกยุโรป ต้าย.........) และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นการเกิดสงครามการเมืองสุดมหาโหดขึ้น นับตั้งแต่ปีค.ศ. 1991 จนถึงปัจจุบัน และมีสถิตคนตายถึง 200,000 คนพร้อมกับอีกหลายหมื่นคนที่ต้องพิการไปตลอดชีวิต(และยังตามมาอีกในอนาคต)


          มหาโหดไงเหรอ ใครดูหนังคงรู้แล้ว ส่วนคนไม่ได้ดูก็เล่าหน่อยละกัน กลุ่มอาร์ยูเอฟนี้น่ะครับ ไม่ใช้กลุ่มที่ทำเพื่อประชาชน โดยประชาชนเหมือนสโลแกนพรรคการเมืองไหนหรอกครับ แต่เป็นกลุ่มรวมพวกสัตว์ผีนรกโดยแท้ วิธีการของพวกมันที่ใช้ต่อต้านรัฐบาลคือ การใช้ลูกปืนแทนการพูด ก็ฆ่ากันนั้นแหละครับ เจอใครแม่ยิงหมด ขนาดเอกอัครราชทูตของสหรัฐอเมริกาประจำสหประชาชาติ ถึงกลับเอ่ยปากว่าสงครามกลางเมืองครั้งนี้เป็น "หนึ่งในความน่าสะพรึงกลัวที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์โลก (one of the world's most repugnant insurgencies)" แล้วละก็ แสดงว่ามันไม่ธรรมดาจริงๆแล้วล่ะครับ

          สงครามกลางเมืองครั้งนี้มันดูจะเหี้ยมเกรียมและอำมหิตกว่าครั้งใดๆในหน้าประวัติศาสตร์สงครามการเมืองใน SSA ก็เพราะว่าคราวนี้พลเมืองตาดำๆกลับเป็นผู้รับชะตากรรมอันโหดร้ายโดยตรงแทนที่จะเป็นคนถูกลูกหลงเหมือนก่อน เพราะงานนี้ RUF ประกาศอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "เป้าหมายการโจมตีหลักคือประชาชน!" พร้อมกันนี้ยังประกาศที่จะทำลายบ้านเมือง ตึกรามบ้านช่องให้พังพินาศเป็นหน้ากลองอีกด้วย
           RUF พูดจริงทำจริงครับ อาคารสถานที่ต่างๆทั้งในเมืองหลวง Freetown และตามหมู่บ้านนี่ถูกลูกกระสุนซัดซะพรุนแถมดำเป็นตอตะโกเลย


           พร้อมกันนี้ RUFได้สร้างโรงละครแห่งโศกนาฏกรรมโลกขึ้นมาอีกแห่งด้วยปฏิบัติการ "ตัดข้อต่อ" (crude amputation of limbs) ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแขนและมือของประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่เพื่อเป็นการกระพือสถานการณ์ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น

            RUF มีศัพท์แห่งความตายของตัวเองด้วยกัน 2 คำครับ
            ถ้ามีคำสั่งแห่งมัจจุราชว่า "Shirt Sleeve" คนๆนั้นจะถูกตัดแขนตรงบริเวณหัวไหล่
             แต่ถ้ามีคำสั่งว่า "Long Sleeve" คนๆนั้นจะถูกตัดแขนตรงบริเวณข้อมือ
             วันดีคือดีพวกมันจะรบแบบกองโจร บุกเข้ามาในเมือง หรือไม่ก็หมู่บ้านคนธรรมดา แล้วให้เด็กใช้ปืนยิงชาวบ้าน แบบปูพรม.....เพื่อสังหารทหารรัฐบาลดะ ทำลาย ฆ่าชาวบ้าน ปล้น จี้ ข่มขืน ฆ่าผู้ใหญ่ต่อหน้าเด็ก รวมทั้งเอาเด็กอายุ 6 ขวบ (ขึ้นไป) เอาไปเป็นกองทัพสัตว์นรก นอกจากนี้ยังมีการกินเนื้อคนในหมู่บ้านอีก.... ส่วนผู้หญิงจะนำไปเป็นบำเรอกามเพื่อการข่มขื่นซ้ำซ้อนอย่างทารุณ(ผู้หญิง 75 เปอร์เซ็นต์ในประเทศ มีประวัติถูกข่มขื่น) จับตัวประกัน มีหลายรูปแบบครับ แต่เด่นๆ ที่สุดคือดึงเอาพวกวัยรุ่นเข้ามาเป็นพวก.......รวมทั้งเด็ก......หากใครไม่เข้าพวกยิงทิ้งทันที หรือไม่ก็ตัดแขนตัดมือ ส่วนคนที่เข้าพวก คนที่แข็งแรงหน่อยก็เอาไปเป็นแรงงานในเหมืองเพชร(เถื่อน) ส่วนพวกเด็ก วัยรุ่น พี่ท่านจะให้พี้ยาเสพย์ติด แล้วให้ติดอาวุธเป็นหน่วยล่าสังหารในดินแดนแห่งนี้แบบไม่จบจักสิ้น
           อ่านถูกแล้วครับ เด็กนี้แหละ.......... ใครดูหนังเรื่องนี้ที่มีฉากเด็กถือปืนไล่ฆ่าชาวบ้าน ผู้หญิง ผู้ใหญ่ เด็ก อดสลดใจไม่ได้


          ใครว่าเด็กไทยคุณภาพแย่ แต่เมื่อมาเจอเด็กเซียรา ลีโอ ต้องซิดซ้าย

          อันเนื่องจาก สงครามกลางเมืองเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน ความพยายาม(หรือเปล่า) ของพวกอาร์ยูเอฟที่กดดันให้รัฐบาลลงจากอำนาจ(เรื่องอะไรล่ะ) การต่อสู้นั้นยืดเยื้อ ทำให้เด็กๆ ในประเทศกลายเป็นเด็กกำพร้าอย่างรวดเร็ว
          และพวกอาร์ยูเอฟเกิดไอเดียกระฉูด(ใช้สมองส่วนไหนคิด) จึงจับเอาเด็กพวกนี้เป็นกองหน้ากล้าตายเสียเลย
          เด็กที่ว่านั้น แค่ 3 ขวบ ขึ้นไปก็จับปืนเป็นสมาชิกกองทัพสัตว์นรกได้แล้วครับ มีหน้าที่คือไปกับกองกำลังพวกผู้ใหญ่ ไปบุกจู่โจม ปล้มสดมภ์หมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังช่วยงานเล็กๆ น้อย เช่นดูต้นทาง เฝ้าเส้นทาง ที่มากที่สุดก็คงการช่วยตอบสนองทางเพศของพวกปฏิวัติทั้งหลายได้ลงแขกกันทั่วหน้า
           "เสียงกรีดร้องแห่งความเจ็บปวดของชายคนที่ผมตัดแขนยังคงก้องในหัวของผม" เด็กหนุ่มวัยฉกรรจ์สมาชิก RUF กล่าวอย่างละห้อย
           ทั้งทหารเด็กและทหารผู้ใหญ่ใน RUF จะถูกกรีดลึกด้วยคมมีดตามร่างกายจากนั้นบาดแผลจะถูกป้ายด้วยโคเคนเพื่อเร้าความรู้สึกบ้าดีเดือดแห่งการต่อสู้และการฆ่าฟัน บางครั้งคนที่ถูกตัดแขนตัดข้อมือก็เป็นพี่น้องหรือเพื่อนบ้านของพวกเขาเอง เมื่ออารมณ์ถูกกระตุ้นจนถึงที่สุดแล้ว มันก็กลับกลายมาเป็นความสนุกเร้าใจเกินกว่าที่สติจะควบคุมได้แล้วจน Saidu ถึงกลับเปรียบเปรยว่า สงครามครั้งนี้เหมือนกับเกมส์บอยขนาดมหึมา ยังไงยังงั้นเลยครับ
          "ผมถูกทำให้รู้สึกบ้าคลั่ง พวกเราสนุกกับการสูบบุหรี่ การดื่มเหล้า การกราดยิงและการสับแขนผู้คน" เด็กหนุ่มวัยฉกรรจ์สมาชิกพูดเหมือนตัวเองไร้ความรู้สึกแห่งชาติพันธุ์มนุษย์


 
        ไม่แปลกเลยสักนิด ที่จะบอกว่า ประเทศนี้ติดอันดับเกณฑ์อายุเฉลี่ยติดชาร์ต "ประเทศที่มีผู้คน "มีอายุสั้นที่สุดในโลก" ไปอย่างฉียบพลัน ถ้าคนในประเทศมีอายุมากกว่า 45 ปี ถือว่าคนนั้นโชคดีที่สุดแล้ว เพราะคนในประเทศนี้อายุไม่ถึง 20 ปี ก็ตายแล้วครับ เพราะไข้โป๊ง(ลูกปืน)

         ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะครับว่า ปัจจุบันนี้มีจำนวนประชากรในประเทศเพียงแค่ 3% เท่านั้นที่บริโภคน้ำสะอาดแถมอัตราเด็กที่เสียชีวิตแรกเกิดสูงถึง 170 คน/1000 คนและในจำนวนเด็กแรกเกิด 1,000 คนนี้มีถึง 286 คนที่มาเสียชีวิตขณะที่ยังไม่ถึง 5 ขวบ
            นี้ยังไม่พูดถึงโรคน่ะครับ เพราะประเทศนี้โรคเพียบ เพราะสุขอนามัยแย่สุดๆ หมอก็ไม่มี ทำให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็กทารกมักตายจากโรคร้ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น มาเลเรีย ไข้ รากสาดใหญ่ พยาธิอหิวาตกโรค ตับเอกเสบ เอดส์ รวมไปถึงโรคท้องถิ่นที่มากมายมหาศาล
           อ้าว...........แล้วประเทศอื่นไม่ช่วยเหลือประเทศเซียรา ลีโอ บ้างเหรอ ตอบเลย ทำครับ แต่ช่วยอะไรไม่ได้มาก ขนาดอเมริกายังไม่อยากยุ่งเลย อย่างมากกองกำลังรักษาสันติภาพ(ยูเอ็ม) ที่เข้ามาช่วยเหลือประเทศนี้ แต่ก็เข็ดขยาดเหมือนกัน เพราะแต่ละวันก็โดนสังหารกันร่วงใบไม้อยู่แล้ว จะยกมือยอมแพ้ก็โดนปืนจ่อยิงศีรษะเลย คิดดู
           คาดว่าเวลานี้มีกองกำลังรักษาสันติภาพราว 500 คนที่โดนพวกนี้จับเป็นตัวประกันและเชื่อขนมกินเลยว่าพวกอาร์ยูเอฟน่ะจะใช้ตัวประกันนี้เป็นเป้าฝึกยิงปืน..... ไม่เว้นแม้แต่นักข่าว


           ส่วนหน่วยงานต่างๆ ที่เข้าช่วยเหลือเหรอ.......................จากรายงานระบุว่า มีหน่วยงานและองค์กรช่วยเหลือราว 40 หน่วยงานที่เกี่ยวพันกับ การขายค้ามนุษย์ในดินแดนแห่งนี้ครับ.....เอ้า...เอ้าเข้าไป (นี้ยังไม่รวมการค้าขายอาวุธเถื่อน ยาเสพย์ติด การเงิน เพชรเถื่อน)

           ส่วนไทยเหรอ อย่าพูดถึงเลย เอาเวลาไปแก้ปัญหาภาคใต้ดีกว่า (แต่มีสถานทูตไทยในเมืองหลวงของประเทศนี้ด้วยนะครับ)
            ผมอยากให้ใครคนหนึ่งที่ใส่ชุดเหลื่องแล้วทะเลาะกันมาดูหนังเรื่องนี้จริงๆ เลยให้ตายสิ

           ครั้งหนึ่ง เซียร์ร่า ลีโอนี่ เคยได้ชื่อว่าเป็น "Athens of Africa" เนื่องจากเป็นเสมือนศูนย์กลางแห่งศิลปะและวิทยาการของภูมิภาค SSA

          แต่วันนี้ความเจริญรุ่งเรืองเมื่อครั้งอดีตกลับกลายเป็นเรื่องเล่าขานในตำนานไปเสียแล้ว
           ผู้คนที่นี่ไม่เว้นแม้แต่สุนัขริมถนนก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวงเหมือนกับในวันวาน ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะบอกกับอาคันตุกะจากต่างเมืองอย่างหดหู่ในช่วงตะวันลับฟ้าว่า

            "Those dogs are not sleeping, they just have their eyes closed."
             เมื่ออาร์ยูเอฟอาละวาดหนัก รัฐบาลก็หวังพึ่งไม่ได้ ทำให้เซียรา ลีโอนี่ พากันไปตั้งกองกำลังต่างๆ เพื่อเอาไว้ต่อต้าน อาร์ยูเอฟ กันทั่วประเทศ
             ก็เลยกลายเป็นกลุ่มกองกำลังสารพัดทีอัดอยู่ตามที่ต่างๆ กันทั่วประเทศ ทำให้ประเทศที่ครั้งหนึ่งจะรวยที่สุดในทวีปอาฟริกากลายเป็นดินแดนแห่งความตายในพริบตา
              ยกตัวอย่าง
              กลุ่มเวสต์ ไซด์ บอยส์ (West Side Boys)
              กลุ่มนี้อดีตเคยเป็นพันธมิตรกับกองทัพของรัฐบาลมาก่อน แต่ต่อมาเมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัว ก็เลยขัดแย้งกัน แต่ก็เป็นศัตรูกับอาร์ยูเอฟอยู่ดี
              ด้านความโหดกลุ่มเวสต์ ไซต์ บอยส์ ก็โหดไม่แพ้กับอาร์ยูเอฟ
              พวกนี้จะดื่มเหล้า เสพยาเสพติดโคเคน ถืออาวุธดินกร่างและพร้อมที่จะยิงใครก็ได้ที่เฉียดย่านที่กลุ่มนี้ยึดครองอยู่ และถ้าเป็น กลุ่มอาร์ยูเอฟ ก็จะยิงสู้ สู้จนสนั่นเมือง ต่อมากลุ่มนี้ถูกต่อต้านอย่างหนักจากกองทัพของรัฐบาลและกลุ่มเอสแอลเอ


          กลุ่ม ลาเมเจอร์ (Ramajors)
          กลุ่มนี้ปรากฏในหนังด้วยนะ รู้เปล่าอยู่ตอนไหนของหนังเอย..............
          กลุ่ม ลาเมเจอร์ เป็นกลุ่มของชนพื้นเมือง พื้นบ้านที่ต้องป้องกันตัวเองไม่ต่างจากกลุ่มอื่นๆ เช่นกัน เพราะไม่รู้ว่าพวกเขาจะโดน อาร์ยูเอฟ สังหารหรือเปล่า จึงได้รวมตัวกันไว้ แบบสองหัวดีกว่าหัวเดียว
           จุดเด่นของกลุ่มนี้คือ นับถือพ่อมด หมอผี ไม่เสื่อมคลาย ทำให้พวกนี้มีความเชื่อในการใช้มนต์ดำร่วมกันต่อสู้ทุกครั้งเมื่อออกรบจนชาวโลกเห็นว่าแปลก นั้นคือ...พวกนี้เชื่อว่าถ้าติดกระจกเล็กๆ บนหน้าผาก หรือทำจี้ห้อยคอไว้ จะทำให้กระสุนสะท้อนออกไปห่างๆ ตัวพวกเขา
           จุดอ่อนของกลุ่มนี้ คงจะเป็น อาวุธหลายชิ้นของพวกเขา เห็นได้ว่าบางชิ้นทำงานไม่ได้แล้ว ควรทิ้งได้แล้ว แต่พวกเขาก็ยังถืออยู่อย่างนั้น
           เชื่อเลย ถ้าปะทะกับอาร์ยูเอฟจังๆ นับลองตายยกแก๊ง

            กลุ่ม ซีดีเอฟ หรือ กลุ่ม พลังต่อต้านแห่งพลเรือน (Civil Defence Force CDF)
            กลุ่มนี้มีสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ ชาวนา รวมทั้งสมาชิกยุคก่อนของเอสแอลเอ รวมตัวกันและจัดตั้งรัฐบาลกันขอบๆ เมืองหลวง "ฟรีทาวน์" ของเซียรา ลี่โอนี่
            แรกสุด กลุ่มนี้เป็นกลุ่มกลางๆ ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่เมื่ออาร์ยูเอฟ บุกเข้าไร่นาและยึดเอาวัว ควาย ชาวบ้าน ตลอดจนสังหารและตัดมือตัดเท้าพวกเขาอย่างหนักจนไม่ไหว ต้องรวมตัวกันเพื่อต่อต้านอาร์ยูเอฟ โดยร่วมมือกับพันธมิตร เอสแอลเอ พร้อมต่อสู้ร่วมกัน
            กลุ่มนี้บอกว่าปั้นปลายถ้าเอแอลเอได้รับชัยชนะและกวาดล้างอาร์ซีเอฟสิ้นซากเมื่อไหร่ พวกเขาก็พร้อมที่จะสลายตัว
            แต่จุดอ่อนกลุ่มนี้ คือไม่มีระบบกลุ่มแน่ชัด ขาดแคลนผู้ฝึกสอน ทำให้มีกองกำลังไม่แข็งแกร่งมากนัก


             กลุ่ม เอสแอลเอ หรือ กลุ่มเซียรา ลีโอนี่ (Sierra Leone Army)
             กลุ่ม เอสแอลเอ อยู่ใต้อาณัติของ ผู้พันอาบู (ชื่อคุ้นๆ กับผู้พันที่พระเอกในเรื่องบลัทเดมอนไปหาเพื่อขายอาวุธตอนต้นเรื่องจัง)มีกองกำลังกว่า 1,100 นาย โดยซุ่มกำลังพลในแถบมาซิอาก้าและจุดเชื่อมต่อร็อกเบอรี่
             หน่วยหลักๆ ของกลุ่มนี้เป็นชายหนุ่มถึงวัยกลางคนและได้รับการฝึกฝนคลอดจนมีความฟิตพร้อมทำการรบอย่างสบายๆ มีความหลากหลาย และมีประสบการณ์ ถือได้ว่าน่ากลัวมากในด้านกำลังรบ
             กลุ่มนี้ถือได้ว่าเป็นมิตรที่สุดในประเทศนี้แล้ว(มั้ง) นอกจากนี้ยังรับจ๊อบเป็นบอดี้การ์ดให้นักข่าวต่างประเทศมาทำสารคดี หรือทำข่าวในประเทศนี้อีกด้วย


             เออ...............แต่ละกลุ่ม
             ประเทศเซียรา ลีโอนี่ จึงเป็นแดนมิคสัญญีที่มีทุ่มสังหารกระจัดกระจายเกลื่อนทั่วประเทศ นอกจากอันตรายจากอาร์ยูเอฟแล้วยังมีกลุ่มอีกเพียบที่พร้อมที่ฆ่าทุกคนที่ย่านกายมาในประเทศนี้เช่นกัน
              ปัจจุบันแม้ประเทศนี้ เริ่มสงบลงแล้ว หลังจากที่การเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลกับ RUF ที่จบลงด้วยการสนธิสัญญาสงบศึกของทุกๆฝ่ายในเดือนกรกฎาคม 1999 ดูเหมือนจะไร้ซึ่งสัจจะแห่งชายชาติทหาร ทางสหประชาชาติก็ได้ลงมาจัดการปราบ RUF ซะเองด้วยการจัดตั้งกองกำลังทหารเพื่อเข้ายุติสงครามกลางเมืองนองเลือดเสียเองภายใต้ชื่อรหัสว่า UNAMSIL (United Nations Mission in Sierra Leone) ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันด้วยนายทหารจำนวนเริ่มต้นที่ 6,000 คน ก่อนที่จะขยายจำนวนขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งมาอยู่ที่ 17,500 คนภายในปีครึ่งจนในที่สุดก็นำสันติภาพกลับคืนสู่อ้อมกอดของชาวเซียร์ร่า ลีโอนอีกครั้ง
              แต่การแก้ปัญหา การพัฒนาประเทศนี้ยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะเพชรยังเป็นที่หมายตาของกลุ่มที่ต้องการงาบเพื่อผลประโยชน์ยังมีอยู่
              เพชรที่เสมือนเป็นเชื้อไฟให้กับการทำรัฐประหารทางสหประชาชาติก็ได้หาทางออกแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งประวัติศาสตร์ภายในประเทศเซียร์ร่า ลีโอนี่นี้ด้วยการออกคำสั่งให้มีการแบนการนำเข้าเพชรจากประเทศไลบีเรียเพื่อกดดันให้ไลบีเรียยุติการสนับสนุน RUF เสียที
               แต่พวกค้าเพชรเถื่อนก็หาออกนอกประเทศจนได้นา
               ผมมี ตลกร้ายในหมู่นายทหารของ UNAMSIL อยู่ตอนหนึ่งครับว่า
               "ถ้าเรา (UNAMSIL) ช่วยมาทำให้กองทัพของเซียร์ร่า ลีโอนฉลาดและมีวินัยมากขึ้นแล้ว อย่างน้อยเวลาที่พวกทหารไม่พอใจรัฐบาลเรื่องเงินเดือนอันน้อยนิดหรือถูกแบ่งเค้กผลประโยชน์ใต้โต๊ะให้น้อยเกินไป การทำรัฐประหารครั้งต่อไปก็คงจะไม่นองเลือดเหมือนครั้งที่ผ่านๆมา"
                ตอนนี้หายนะมายืนรอตรงหน้าชาวเซียร์ร่า ลีโอนี่ไม่ใกล้ไม่ไกลแล้วครับ รอเพียงแต่ว่าระเบิดเวลาลูกนี้จะระเบิดเมื่อไหร่เท่านั้นเอง

ดัดแปลงเพิ่มเติมจากหนังสือ โหดเหลือเชื่อ



ฮิวาโย เผ่าย่อหัวมนุษย์
           ถ้าคุณไปเที่ยว เมืองกิโต เมืองหลวงของเอกวาเดอร์
           คุณอาจจะพบชาวอินเดียแดงสักคน ถ้าโชคดีเขาก็อาจนำสินค้าที่ระลึกพิเศษมาเสนอขายให้คุณในราคาที่ไม่แพงนัก และบางทีอาจพบสินค้าสุดแสนพิเศษอย่างหนึ่ง มันก็คือ
            "หัวมนุษย์ย่อส่วนแบบของจริง"
           หัวมนุษย์ย่อส่วน มีขนาดเท่าส้มลูกเขื่อที่อยู่ในถุงย่ามสะพาย คุณสามารถเลือกซื้อได้ตามต้องการ สนนราคาเมื่อเทียบกับเงินไทยก็ประมาณหัวละหมื่นบาทสำหรับหัวของชาวอินเดียแดง และถ้าแพงหน่อยก็หัวที่มีผมสีทอง(คนขาว)จะราคาสูงถึงสามหมื่นบาท นัยว่ามันสวยและน่ารักกว่า.............
           แต่ราคาทั้งหมดนี้ก็สามารถต่อรองได้เหมือนกับสินค้าตามท้องตลาดแหละครับ เหมือนผักกับปลายังไงยังงั้น คุณอาจได้หัวราคาถูกๆ จากพ่อค้าคนกลางก็ได้ แต่ถ้าอยากได้ของถูกกว่านี้อีก คุณต้องบุก หรือลงทุนเสี่ยงตายไปซื้อถึงแหล่งผลิตกันเลยที่เดียว เพราะไม่แน่หัวของคุณอาจเป็นสินค้าเสียเองก็ได้ ใครจะไปรู้


            สำหรับใครที่ตัดสินใจว่าตูอยากได้หัวย่อมนุษยืแบบถูกๆ แบบไม่กลัวตายละก็ ก่อนอื่นท่านต้องขึ้นเครื่องบินไปประเทศเอกวาเดอร์ก่อน จากนั้นก็ต่อเครื่องบินลงต่อที่มาคาส์ ซึ่งอยู่ในป่าลึกทางตอนใต้ติดกับพรมแดนเปรู เมื่อถึงสนามบินก็ต้องหาไกด์(ซึ่งไม่ค่อยมีใครอยากไปที่นั้นนัก) พาท่านไปที่หมู่บ้านอินเดียแดงฮีวาโร ซึ่งเป็นเผ่าอินเดียแดงที่เป็นนักย่อหัวมนุษย์เก่งกาจฉกาจเลยที่เดียว นิสัยป่าเถื่อน และไม่ได้ย่อหัวมนุษย์เฉพาะการค้า เพียงแต่จะทำเมื่อเกิดเภทภัยเท่านั้น เช่นระเบิดภูเขาไฟ หรือไร่นาเสียหาย แสดงว่าเทพเจ้าลงโทษ และหมอผีประจำหมูบ้านจะออกคำสั่งให้ออกล่าหัวมนุษย์ย่อส่วน หรือในกรณีพระจันทร์เต็มดวงหมอผีประจำเผ่าจะใส่ล่าหัวมนุษย์ได้เช่นกัน

            การเตรียมล่าคนเพื่อย่อหัว พวกฮิวาโรจะเตรียม มีด หลาว หอก ลูกดอกอาบยาพิษ ออกไล่ล่าหัวมนุษย์ ซึ่งบางครั้งก็เป็นหัวของชาวผิวขาวหรืออินเดียแดงเผ่าอื่นๆ เพื่อนำมาย่อส่วนลงโดยกรรมวิธีของหมอผีชาวเผ่าฮีวาโรนั้นเอง
            ส่วนขบวนการพิธีกรรมย่อหัวมนุษย์นี้เป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์มาก ห้ามให้คนนอก แปลกถิ่นเข้าชมหรือเข้าร่วมเด็ดขาด จะมีแต่พวกฮีวาโรเท่านั้นที่สามารถเข้าชมได้ โดยนั่งล้อมวงเอาหลาวปักหัวมนุษย์สดๆ ที่ล่ามาได้ พวกเขาจะสวมหมวกขนนกแบบฉบับของอินเดียแดง นุ่งผ้าเตี่ยวเปลื่อยช่วงบน สอดคอด้วยกระดูกชิ้นใหญ่ เต้มระบำรอบๆ ซุ่มหัวมนุษย์ที่ถูกเสียบปักอยู่กลางวงนั้น ส่วนผู้หญิงจะเปลือยส่วนบนทั้งหมด มีทั้งผู้หญิงแก่ หญิงสาว


           ในขั้นแรกหมอผีประจำเผ่าจะนำเอาหัวมนุษย์ที่ล่ามาได้นั้นไปต้มเสียก่อนในหม้อดินขนาดใหญ่จนเปื่อย แล้วหมอผีก็จะถอดกะโหลกออกเหมือนถอดหน้ากากยังไงยังนั้น โดยเอามีดผ่าหนังหัวลงมาถึงคอก่อนแล้วจึงเย็บเข็มที่ทำด้วยกระดูกและด้ายที่ทำจากใยไม้เหนียวเย็บติดปาก และเอาถ่านดินดำทาที่ใบหน้าหัวมนุษย์เพื่อป้องกันวิญญาณหลบหนีออกมาแก้แค้นพวกเขา หลังจากนั้นหมอผีจะคั่วทรายร้อนๆ เทเข้าไปในหัวนั้นเพื่อทำให้หนังเหนียวและแข็งขึ้น และเป็นการละลายไขมันให้แห้งไปด้วย

              สำหรับท่านเมื่อมาถึงหมู่บ้านฮิวาโรแล้ว ก็สามารถต่อรองราคากันเองได้เลย หรือไม่ก็เอาไฟฉาย ไฟแซ็คมาแลกเปลี่ยนก็ไหว หรือไม่ก็เป็นหัวมนุษย์ย่อส่วนก็ได้ เลือกเอาเองนะครับ


           เรื่องราวของ "หัวมนุษย์ย่อส่วนของพวกฮิวาโร" ยังคงเป็นเรื่องราวน่าตื่นเต้นที่ไม่เคยตกยุคตกสมัยแต่อย่างใด
           นอกจากความหลากหลาย อารมณ์สีหน้าของมัน จะมีความแปลกประหลาด แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า หัวแต่ละหัวนั้น มีวามเชื่อ ประเพณี ที่ระอุด้วยความแค้น การแย่งชิง การฆ่าพัน ที่สยอดสยองแฝงอยู่
           เผ่า จิวาโร(jivaro) หรือบางคนเรียกเผ่านี้ว่า ฮีวาโร หรือเชือ(Shuar)ก็ได้ครับ ซึ่ง ฮิวาโร เป็นสำเนียงของสเปนซึ่งเป็นชาวต่างชาติกลุ่มแรกๆ ที่รู้ฤทธิ์ความโหดเหี้ยมของอินเดียแดงเผ่านี้เป็นอย่างดี
           มันเริ่มขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 16 ราว ค.ศ.1599 สเปนได้ตั้งแหล่งถิ่นฐานอยู่ตอนใต้ของเอกวาเดอร์เพื่อทำเหมืองทอง ซึ่งบริเวณนั้นเผ่าฮิวาโรเป็นเจ้าของพอดี ชาวสเปนจำต้องผูกมิตรชนเผ่านี้ด้วยการแลกเปลี่ยนสินค้าร่วมกัน
          แต่นานๆ เข้าสเปนคิดลองดีกับเผ่าฮิวาโร่ ด้วยการเก็บภาษีบางอย่างกับเผ่านี้มากเกินไป จนฮิวาโร่ทนไม่ไหว จึงยกพลบุก สังหารหมู่ ที่ชุมชนสเปนกว่า 20,000 คน ชาวสเปนตายเรียบ ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงและเด็ก พร้อมกันนั้นยังตัดหัวไปทำพิธีย่อหัวมนุษย์ด้วย
           ครับนี้คือตำนานอันโหดเหี้ยมของเผ่าฮิวาโร่ นอกจากนี้เรื่องราวของพวกเขายังถูกทำเป็นหนัง สารคดี แพร่หลายไปทั่วโลก รวมถึงหัวมนุษย์ย่อส่วน ที่โด่งดังพอๆ สินค้าโอท็อปบ้านเรา เป็นสินค้าที่นิยมในตลาดมืดเป็นอย่างมาก อีกทั้งเป็นที่ชื่นชอบของคนดังมากมาย
          และหัวสเปนโบราณนี้แหละครับที่มีราคาแพงมากที่สุด
          ความจริงแล้ว ฮิวาโร นั้นทำการสังหารเพื่อนบ้านและย่อหัวมาตั้งแต่ 200 ปีก่อนคริสตกาลแล้วครับ นานกว่าที่สเปนรู้จักพวกเขาเสียอีก
           ส่วนสาเหตุที่เผ่าฮิวาโรทำการย่อมนุษย์นะหรือ? มีเหตุผลร้อยแปดครับที่ชนเผ่านี้ต้องย่อหัวมนุษย์ แต่หลักๆ ก็คือ ความเชื่อครับ


           เผ่าฮิวาโร นั้นเป็นกลุ่มชนที่ไม่ได้อาศัยอยู่เป็นหลักแหล่งหนาแน่นเป็นอาณาจักรนัก แต่พวกเขาชอบรวมกลุ่มกันแบบหมู่บ้านราวๆ 5-6 หลัง มีสมาชิกประมาณ 30-40 คน เสียมากกว่า ทำให้พวกฮิวาโรอยู่กันกระจัดกระจายกันทั่วทวีปอเมริกาใต้ เช่น เอกวาเดอร์ บราซิล เปรู
           ถึงแม้เผ่าฮิวาโรจะจัดกระจาย แต่ความโหดเหี้ยม ป่าเถื่อน ของเผ่านี้ ยังไม่หายไป ชาวอินเดียนเผ่าอื่นๆ ต่างรู้ฤทธิ์ของเผ่าฮิวาโรดี จนอกสั่นขวัญแขวนเมื่อได้ยินชื่อ ฮิวาโร


           ทั้งๆ ที่อาวุธหลักของฮิวาโรก็ไม่ดีกว่าเผ่าอื่นๆ นัก อย่างเก่งก็มีมีดขนาดใหญ่ที่เรียกว่า มาเซตตี้(ไม่ใช้สปาด้า) แต่ชื่อเสียงความดุร้าย ตลอดจนฝีมือในการสู้รบ และการวางแผนล่วงหน้า ทำให้ฮิวาโรกลายเป็นเผ่าพันธุ์สุดสะพรึ่ง น่าหวาดหวั่นสำหรับใครก็ตามที่คิดจะล่วงล้ำในดินแดนของฮิวาโร
           นอกจากนี้ การหาเหตุ ที่จะช่วงชิงทรัพย์ต่างๆ ของคนต่างเผ่านั้น ก็ทำให้พวกฮิวาโรเป็นชนเผ่าที่กระหารสังหารอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
           การจู่โจมของพวกฮิวาโรแต่ละครั้ง จะใช้นักรบชาย 40-30 คน ในการบุกโจมตีสังหารเหยื่ออย่างทารุณ และเมื่อสังหารเหยื่อ หรือเหยื่อขอยอมแพ้ พวกฮิววาโรจะยึดทรัพย์สินต่างๆ จากเหยื่อ เช่น ไม้ซางเป่าลูกดอก ลูกดอกอาบยาพิษ หมาล่าเนื้อ แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้ที่จะติดไปด้วยคือ
           "หัวของเหยื่อ"
           การตัดหัวเหยื่อของพวกฮิวาโรจะตัดจากข้างหลังโดยเลือกตัดให้ติดต้นคอมากที่สุด
           แล้วเมื่อตัดหัวก็จะใช้ผ้าโพกหัวที่เตรียมมาด้วยสอดเข้าปากของเหยื่อแล้วดันทะลุที่คอ (ขาด) เพื่อสะดวกในการหิ้ว สะพาน อย่างสบายๆ บางคนก็หิ้วแบกหัวเดียว บางคนก็หิ้วแบกหลายหัว ว่ากันว่า ยิ่งได้หัวมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็น เจ้าของวิญญาณเหยื่อมากเท่านั้น
            เมื่อพวกฮิวาโรได้หัวเหยื่อมาแล้ว ก็เร่งออกจากพื้นที่โดยเร็ว เพื่อมุ่งไปยังสถานที่ทำพิธีกรรมย่อหัวมนุษย์ที่เดียวไว้ล่วงหน้า แต่เขาไม่นิยมกันทำในหมู่บ้าน โดยส่วนใหญ่สถานที่ย่อหัวมนุษย์นั้นจะอยู่ริมแม่น้ำอะเมซอน ซึ่งเป็นลำน้ำสำคัญที่พวกฮิวาโรเคารพนั้นเอง


            การทำการย่อหัวเริ่มจากฮิวาโรจะใช้มีดผ่าจากด้านหลังศีรษะขึ้นมาถึงกลงกระหม่อมของหัวที่ตัดมาได้ จากนั้นก็แบะเนื้อหัวที่ผ่าซีกออกมา แล้วตลบออกเพือดึงกะโหลกออก ก่อนที่จะเอากะโหลกนั้นทิ้งแม่น้ำเพื่อให้กะโหลกนั้นเป็นบรรณาการ หรือบรรเทาความโกรธของเทพเจ้า
            หลังจากนั้นเนื้อหัวมนุษย์จะถูกกลับเอาด้านในออกมาเพื่อขูดเอาชั้นไขมันต่างๆ ออกไป แล้วนำหัวนั้นใส่ลงไปในหม้อเคี่ยวไฟรุมๆ ที่มีสมุนไพรบางอย่าง นานราว 1 ชั่วโมง หรือ มากกว่านั้น ซึ่งมาถึงขั้นตอนนี้หัวเหยื่อจะถูกย่อลงเหลือแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น และขั้นตอนนี้พวกฮิวาโรจะให้ความสำคัญมากเพราะต้องให้ไฟพอดี ไม่แรงเกินไปเด็ดขาด เพราะจะทำให้เส้นผมเหยื่อหลุดมาได้
             เมื่อทำการเคี่ยวเสร็จ หัวที่ย่อจะถูกนำมาเย็บแผลที่ลำคอ ด้านหลังศีรษะ และเย็บตากับริมฝีปาก ด้วยใยจาก คูเม่ ปาล์ม
              จากนั้นก็เติมหินหรือกรวดขนาดเล็กประมาณ 5-6 ก้อน ที่เผาไฟแล้ว ใส่ลงหัวมนุษย์ย่อส่วนเพื่อให้ผิวหนังภายในแห้งมากยิ่งขึ้นพร้อมกับนวดใบหน้าของหัวย่อส่วนไปด้วย เพื่อให้หน้ามันออกมาดูดี ดูเหมือนตอนที่ตายใหม่ๆ
           พูดง่ายๆ คือ ฮิวาโร ต้องการใบหน้าของหัวย่อส่วนอยู่ในสภาพใกล้เคียงกับตอนตายมากที่สุด โดยเฉพาะสีหน้าแสดงความหวาดกลัวในขณะตาย


            เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้แล้วก็จะใช้ไม้ยาวๆ เสียบต้นคอหัวย่อส่วนเอาไว้ แล้วนำมาย่างเพื่อเพิ่มความแห้งขึ้น จากนั้นก็ทิ้งไว้จนถึงวันที่สอง หัวย่อส่วนนั้นจะมีขนาดเล็กลงไปอีก แล้วทำขั้นตอนเหมือนเมื่อวานคือใส่หิน(แต่ตอนนี้หัวย่อส่วนขนาดเล็กมากจึงต้องใช้ทรายคั่วแทน)พอตกเย็นก็นำมาย่างไฟรุมๆ พร้อมนวดหน้าเพื่อไม่ให้มันแตก ระหว่างนั้นก็ใช้มีดดาบที่นาบความร้อนนาบไปตามริมฝีปากของหัวย่อส่วนไปด้วยเพื่อให้หัวนั้นแห้งมากยิ่งขึ้น
             ขบวนการเช่นนี้ดำเนินไปทุกวัน ทุกวัน วันละ 2-3 ชั่วโมง เป็นเวลานานต่อเนื่องถึง 1 สัปดาห์เต็มๆ จึงจะได้หัวมนุษย์ย่อส่วนที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมเพื่อที่ให้นักรบที่ล่ามาได้ห้อยหัวย่อส่วนนั้นกลับหมู่บ้านเพื่ออย่างทรนง
           เมื่อพวกนักรบประจำเผ่ามาถึงหมู่บ้าน จะได้รับการต้อนรับจากบรรดาผู้หญิงในหมู่บ้านเป็นอย่างดี พร้อมกับการนำอ่างไม้ที่มีเลือดผสมสีดำมาทาที่ขาขางซ้ายของนักรบ จากนั้นก็ละเลงทั่วร่างของนักรบฮิวาโร เพื่อเป็นสัญญาณพิธีกรรม แซนซาธ (หมายถึงหัวย่อส่วนที่ผ่านพิธีของฮิวาโรแล้ว)
            โดยใครล่าหัวมนุษย์มากที่สุดก็จะได้เป็นผู้นำเผ่าโดยปริยาย แต่อย่างไรก็ตามหัวมนษย์ที่ล่าไม่ได้ ไม่ใช้เป็นเสมือนถ้วยรางวัลเท่านั้น เพราะคุณสมบัติของมันนั้นร้อยแปดจักรวาลมากมาย เช่น ป้องกันการแก้แค้นจากวิญญาณร้าย เสร้มสร้างผลผลิตการเกษตรให้มากยิ่งขึ้น และช่วยการล่าสังหารเผ่าๆ ต่างๆ ให้ดีขึ้นไปอีก
             จากนั้นพวกฮิวาโรก็พาเต้นรำและทำอาหารเฉลิมฉลองอย่างมีความสุข
              และเมื่อหัวมนุษย์ย่อส่วนเมื่อผ่านไป 3 ปี หลังจากทำพิธีแซนซาธไปแล้ว พวกฮิวาโร่จะถือว่าหัวย่อส่วนนั้นหมดพลัง อิทธิฤทธิ์ไปแล้ว นั้นแหละจะถึงคราวที่จะ "ปล่อยของ" นี้แหละที่ทำให้หัวมนุษยืย่อส่วนนั้นมีโอกาสตกทอดถึงบุคคลภายนอกที่ชื่นชอบของแปลก แต่ก็มีหัวย่อส่วนเหมือนกันที่มีการโยนทิ้ง หรือทำลายตามครรลองของฮิวาโร
           หลังจากโละหัวมนุษย์ย่อส่วนทิ้งทุกๆ 3 ปี ก็จะถึงคราวที่พวกฮิวาโรต้องหาหัวมนุษย์ชุดใหม่มาย่อส่วนเลยๆ เพื่อไม่ให้พลังขาดตอน จนเป็นวัฏจักรในที่สุด ถึงแม้ว่าปัจจุบันรัฐบาลเอกวาเดอร์จะสั้งห้ามให้พวกฮิวาโรฆ่าคนเพื่อล่าหัวแล้วก็ตาม แต่ก็คาดว่าพวกฮิวาโรก็ยังแอบล่าและย่อหัวมนุษย์อยู่ในป่าทึกของเอกวาเดอร์อยู่เหมือนเดิม

            ปัจจุบันนี้ ตลาดค้าหัวมนุษย์ นั้นแม้จะมีขนาดเล็ก เพราะมีบางประเทศสั่งห้ามนำเข้าจึงต้องทำแบบลับๆ นั้นเองที่ทำให้มูลค่าของหัวยิ่งมหาศาล(บางเจ้าไม่ใช่ฮิวาโรแต่ทำหัวย่อส่วนเอง หรือทำของปลอมมาขายก็ยังมี) มีผู้คนมากมายหรือแม้แต่พิพิธภัณฑ์ องค์กรลับ ที่พร้อมจ่ายเงินเป็นค่าหัวนั้นชนิดไม่มีอั้น ที่ดังๆ ก็ เจ้าพ่อ อัล คาโปน คนหนึ่งละที่เป็นนักสะสมหัวมนุษย์ย่อส่วนตัวยง
             แต่ถ้าอยากได้ของถูกก็ใช้วิธีไปขอถึงแหล่งผลิตเลยครับ แต่คุณจะกล้าหรือเปล่า
ดัดแปลงจากหนังสือ โหดเหลือเชื่อ เรื่องจริง+ +